วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2552

~เรียนไปทำไม~

เฮ้อ ! เหนื่อยจัง ฉันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนปิดตำราเรียนที่กองอยู่ตรงหน้า แล้วเดินออกไปหลังห้องเพื่อยืดเส้นยืดสายที่ขดอยู่นานร่วมชั่วโมงกับโต๊ะอ่านหนังสือ มองออกไปยังท้องฟ้ากว้างที่ตอนนี้เหมือนถูกทาสีไปด้วยสีดำ กับดาวระยิบระยับไม่กี่ดวง ทำให้นึกถึงอานาชีดที่ฟังประจำ …… bulan dan bintang menjadi saksi kebesaran Ilahi ……
ใช่ ! แค่ ดวงจันทร์และดวงดาวก็บ่งบอกได้แล้วถึงความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮ์ ละสายตาจากท้องฟ้ากว้าง ก็หันมาสำรวจตัวเอง วันนี้เครียดจัง มีสอบติดต่อกันมาหลายวัน เฮ้อ ! เหนื่อย ( เป็นการถอนหายใจครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ก็มันนับไม่ถ้วนแล้วนี่ ) “หนู ! เรียนที่ไหนเหรอ? หญิงสูงวัยคนหนึ่งถามขึ้นขณะที่นั่งรอรถด้วยกันคงเป็นชุดที่ฉันใส่อยู่ตอนนี้แน่เลยที่บ่งบอกออกมาชัดเจนว่าฉันยังทำอาชีพเกาะพ่อเกาะแม่อยู่ ( คือยังเรียนอยู่นั่นเอง ) แต่ฉันก็ไม่ทันได้ตอบออกไป เพราะสิ้นคำถามเขาก็ได้รับคำตอบทันที เมื่อเห็นกระเป๋าหนังสือที่มีตราสัญลักษณ์ของโรงเรียน อ๋อ ! โรงเรียน……… อยากบอกทั้งชุดนักเรียนและกระเป๋าเหลือเกินว่าตลอดปีที่ผ่านมา วันนี้มันทำหน้าที่ได้ดีมากเหลือเกินที่สามารถเป็นเป้าสายตาของหญิงสูงวัยคนนี้ได้ และยังทำให้ฉันกลายเป็นคนมีอดีตไปกับมันด้วย แล้วเรียนไปทำไมเหรอ ? นี่ ท่านป้ายังคงสงสัยต่อไป “ กว่าจะจบออกมาก็เสียตังค์ไปหลายแสน บางคนทำงานก็ได้เงินเดือนน้อยกว่าคนที่ไม่เรียนอีก ผู้หญิงก็แต่งงานเลี้ยงลูกอยู่บ้าน แค่เนี๊ยะ เสียดายเงินเปล่าๆ ” แหม ! ถามเองแถมแย้มความคิดเห็นของตัวเองไปด้วยนิดๆ ช่างเป็นคำตอบที่ยากเย็นสำหรับนักเรียนมัธยมต้นตาดำๆคนนี้เหลือเกิน (นึกในใจค่ะ ) นี่เป็นคำถามที่ฉันไม่เคยลืมมันเลย ( ขนาดคำถามของอาจารย์ที่ฟังอยู่ทุกวี่ทุกวัน ยังคืนให้อาจารย์วันต่อวันเลย) ฉันก็ได้แต่นั่งยิ้ม ก็ตอนนั้นคิดไม่ออกจริงๆว่าจะตอบอะไรไปดี ง่าย ๆ ก็คือ อึ้ง เวลาผ่านมาหลายปีแต่คำพูดนั้นก็ยังกึกก้องอยู่ในโสตประสาทอยู่ร่ำไป นั่นสิ เรียนไปทำไม ? เหนื่อยก็เหนื่อย ตังค์ก็หมดไปไม่ใช่น้อยแล้วน่ะ ยิ่งบางวิชาลงทะเบียนเรียนกันไม่รู้กี่รอบ (สำหรับคนที่ไม่ค่อยได้เรื่องอย่างฉัน ) เพื่อนคนที่ไม่เรียนเขาก็มีความสุขกันดีนี่ ทำงานโรงงาน เป็นพ่อค้าแม่ค้า หรือ ช่วยพ่อแม่ออกเรือหาปลา ที่สำคัญอายุก็เท่ากัน แต่เขาไม่ต้องมานั่งแบมือขอตังค์พ่อแม่เหมือนกับเรา แต่ในใจลึกๆ ยังไง ฉันก็ยังเห็นว่า การเรียนยังคงเป็นสิ่งจำเป็นอยู่ดี “ประทานโทษน่ะค่ะ เพราะอย่างน้อย ความรู้ไม่ใช่เหรอที่ทำให้ป้าได้นั่งรถตู้คันนี้จากสงขลาไปปัตตานี แทนที่จะนั่งควายเทียมเกวียนเหมือนสมัยก่อน แล้วแม่ที่รู้หนังสือกับไม่รู้หนังสือก็ต่างกันน่ะค่ะ ตรงที่การอบรมเลี้ยงดูลูก เพราะแม่คือ ครูคนแรก และคนสำคัญ ใช่ว่าจ่ายค่าเทอมของลูกไปแล้ว แล้วผลักภาระให้กับครู เพราะ เราไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยเงิน อีกอย่างลูกก็ต้องโตไปพร้อมๆกับความก้าวหน้าของโลก ถ้าเราไม่ทันโลกแล้วเราจะทันลูกได้อย่างไร ยิ่งหากไม่มีวัคซีนป้องกันที่เรียกว่าอีมาน และ ตักวา ให้กับลูกแล้ว ก็ยากยิ่งนักที่ลูกจะไปหาได้จากที่อื่น ในเมื่อครอบครัวตัวเองยังไม่มี แล้วจะไปหาจากสังคมที่เลวร้ายอย่างทุกวันนี้ได้อย่างไร ที่สำคัญความรู้ทำให้เราได้รู้จักกับพระเจ้า ธรรมชาติ ทะเล ภูเขา จะเกิดขึ้นมาเองได้อย่างไร ก็ต้องมีผู้สร้างอย่างแน่นอน กลางวัน กลางคืน ก็ต้องมีผู้ควบคุม แล้วอีกอย่างนึงความรู้เป็นมรดกจากท่านนบี ในขณะที่ทรัพย์สินเงินทองเป็นมรดกของฟิรอูนกษัตริย์ผู้หยิ่งยะโส ความรู้ยิ่งให้ยิ่งเพิ่มพูนแต่ทรัพย์สินยิ่งให้ยิ่งลด แล้วความรู้ก็เป็นตัวพาเราไปสู่หนทางแห่งสวรรค์ ในขณะที่เงินทองกลับเป็นตัวดึงเราสู่ไฟนรก “ นี่แหละ คำตอบของฉัน อาจจะยังน้อยไปด้วยซ้ำสำหรับการบอกให้โลกรู้ว่าความรู้สำคัญแค่ไหน แต่ก็ยังไม่เสียดายเท่ากับการที่ไม่ได้ตอบกับคนที่ถามฉันโดยตรง นึกถึงเรื่องนี้แล้วก็ต้องเสียดายอยู่ร่ำไปเพราะไม่สามารถงัดความรู้ที่ตนเองมี ( อย่างน้อยนิด ) ออกมาใช้ให้เป็นประโยชน์เลย แล้วถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับคุณล่ะ คุณจะตอบยังไง อย่าลืมช่วยบอกให้โลกรู้ต่อ ๆ กันด้วยน่ะค่ะว่าความรู้สำคัญไฉน ?

การเรียนในสถาบันการศึกษาเป็นเพียงแค่เสี้ยวหนึ่งของการเรียนรู้ในอิสลาม เพราะจะไม่มีประโยชน์อันใดเลยหากจบการศึกษาดีๆหรือในระดับสูงแต่กลับสูญเสียคุณค่าที่แท้จริงของการศึกษาไป

ไม่มีความคิดเห็น: