วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2552

~25 ความเชื่อตลกๆ ในวัยเด็ก~

1.เห็นคนโป๊จะเป็นตากุ้งยิง
2.คิดว่าด้วงเป็นแมลงสาบที่แข็งแรง
3.จิ้งจกคือตะพาบถอดกระดอง
4.ตุ๊กแกเป็นพ่อจิ้งจก
5.จิ้งจกโตขึ้นไปเรื่อยๆจะกลายเป็นจระเข้
6.ถ้าไม่ตั้งใจเรียนเขาจะงอกเป็นควาย
7.ถ้าเอากิ้งกือมาต่อกันจะได้กิ้งกือตัวยาวๆ
8.ถ้าดูดนิ้วไปเรื่อยๆนิ้วจะงอกขึ้นมาอีกนิ้ว
9.ถ้าถูกยุงกัดเยอะๆแล้วเลือดจะหมดตัว
10.เด็กผู้หญิงคือเด็กผู้ชายที่วิ่งซนแล้วช้างน้อยหล่นหาย
11.ถ้าชี้รุ้งกินน้ำแล้วนิ้วจะกุดต้องแก้เคล็ด
12.ถ้ากลืนเม็ดแตงโมเข้าไปมันจะงอกออกมาทางสะดือ
13.เอาไม้หนีบผ้าหนีบจมูกแล้วจมูกจะโด่ง
14.คิดว่าตุ๊กแกกินตับ
15.ยักษ์วัดแจ้งกับยักษ์วัดโพธิ์ยืนหลับอยู่
16.คิดว่าแม่ชีเป็นเมียของพระ
17.แล้วลูกของพระคือเณร
18.คิดว่านอนเตียงเดียยวกันแล้วจะท้อง
19.ถ้าไว้ผมยาวจะดูหล่อ
20.วันวาเลนไทน์ต้องติดสติกเกอร์รูปหัวใจ
21.เชื่อว่าฉีดยาเจ็บเท่ามดกัด
22. ถ้าได้เรียนถาปัดจะดูหล่อๆเท่ๆ
23.เรอคือตดที่ออกจากปาก
24.ผู้หญิงด่าแปลว่าผู้หญิงรัก
25.อิจฉาที่ญี่ปุ่นมียอดมนุษย์เยอะ

วันเสาร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2552

Un "Obama britannique"? Pas pour demain

L'équivalent britannique d'un Barack Obama se heurterait à d'énormes difficultés pour devenir premier ministre, estime le président de la commission nationale sur l'égalité et les droits de l'Homme.
Dans une lettre au journal le Times Trevor Phillips affirme que le problème ce n'est pas les électeurs mais le système politique.
Selon lui, quelqu'un avec l'intelligence et les qualités et les capacités de Barak Obama aurait à franchir d'énormes obstacles car, le système n'encourage pas le changement.
Il affirme que ceux qui "ne correspondent pas au moule" ont plus de mal à atteindre de hautes fonctions.
Dans cet entretien accordé au Times, Trevor Phillips déclare: "si Barack Obama vivait en Grande-Bretagne, je serais très surpris que quelqu'un d'aussi brillant que lui, réussisse à faire tomber les barrières institutionnelles qui protègent l'appareil politique du Parti travailliste."
Le Labour a rétorqué qu'il "n'avait pas à rougir de son action pour promouvoir des candidats issus de minorités ethniques."
Treize députés travaillistes siègent aux Communes contre deux pour les Conservateurs. Les Démocrates-Libéraux n'en ont actuellement aucun.
Les Conservateurs font mieux
Cela est dû, selon le président de la commission de l'égalité et des droits de l'Homme, à une "résistance interne" au sein des instances à sélectionner des candidats noirs ou originaires du sous-continent indien.
Interrogé par la BBC, Trevor Phillips a affirmé que le sexe, la race ou la classe sociale constituaient toujours des facteurs très importants pour parvenir à la magistrature suprême dans le système politique actuel.
Mais il a bien fait remarqué qu'il n'utilisait pas l'expression "racisme institutionnalisé"
"Les partis, les syndicats sont tous d'accord pour défendre les minorités, mais dans la pratique ils laissent aux autres le soin de faire avancer les choses"

Trevor Phillips
"Le système est tel que, en dépit de la bonne volonté de chacun, bien que beaucoup souhaitent que les choses changent, cela n'arrive pas."
"En réalité je ne pense pas que les gens "seraient hostiles" à l'élection d'un premier ministre noir.
"En fait dans un monde qui bouge, après ce qui est arrivé cette semaine, je crois qu'ils aimeraient plutôt bien cela," a-t-il estimé.
"Les partis politiques, les syndicats et les centres d'études et de recherches sont tous en principe d'accord pour défendre la cause des minorités, mais dans la pratique ils laissent aux autres le soin de faire avancer les choses", a-t-il ajouté.
Sadiq Khan, sous-secrétaire d'Etat, chargé des collectivités locales et des communautés défend la politique du gouvernement travailliste:
"Je travaille avec des responsables politiques noirs, très doués, très capables et je sais, parce que je me rends souvent dans des circonscriptions, que les gens sont très au fait et que nous jugeons nos responsables sur leurs politiques et non pas sur la couleur de leur peau".
Le président de la commission de l'égalité et des droits de l'Homme, pense que les Conservateurs font mieux que les Travaillistes et qu'ils présentent davantage de candidats issus de minorités (noirs ou Asiatiques) aux élections législatives.
Cependant Trevor Phillips est opposé à des listes composées entièrement de noirs pour la sélection des candicats aux élections au niveau des circonscriptions, parce que c'est difficile de définir qui est "noir" et qui déciderait où les

วันเสาร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2552

หาบุญใส่ตัว

วันนี้ได้ไปทำบุญที่วัดหลวงพ่อธรรมกายาราม จ.ราชบุรี


นำบุญมาฝากกัน ใครที่ได้อ่าน ก็ขอให้อนุโมทนา สาธุ ดัง ๆ

ให้ถึงพระนิพพานเลยจ้า



ละชั่ว ทำดี ทำใจให้ผ่องใส น้า ^^

วันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2552

ประวัติวันเด็ก

วันเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคม ของทุกปี เป็นวันอะไร เด็กๆ ยกมือกันเป็นแถวเลย ถูกแล้วค่ะ "วันเด็ก" ทีนี้เราลองมาทราบประวัติความเป็นมาของวันเด็กกันดีกว่านะคะความเป็นมา
นายวี เอ็ม กุลกานี ผู้แทนองค์การสหพันธ์เพื่อสวัสดิการเด็กระหว่างประเทศ เป็นผู้เสนอต่อกรมประชาสงเคราะห์ ให้มีการจัดงานวันเด็กแห่งชาติขึ้น เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนได้เห็นความสำคัญของเด็ก และเพื่อกระตุ้นเตือนให้เด็กได้ตระหนักถึงความสำคัญของตนเอง
งานวันเด็กแห่งชาติในเมืองไทยครั้งแรกนั้น จัดขึ้นในวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคม พ.ศ.2498 และได้จัดติดต่อกันมาเป็นประจำทุกปี จนถึง พ.ศ.2506 จึงมีความคิดว่าควรจะเปลี่ยนไปจัดงานวันเด็ก ในวันเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคม เนื่องจากเห็นว่าเป็นช่วงที่พ้นจากฤดูหนาวมาแล้ว และเป็นวันหยุดราชการทำให้เกิดความสะดวกด้วยประการทั้งปวง
แต่ในปีถัดมา คือปี พ.ศ.2507 ไม่สามารถจัดงานวันเด็กได้ทัน จึงได้เริ่มจัดในปี พ.ศ.2508 ซึ่งถือเอาวันเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคม เป็นวันเด็กแห่งชาติ มาจนถึงบัดนี้
รัฐบาลได้จัดให้มีคณะกรรมการจัดงานวันเด็กแห่งชาติขึ้นมาคณะหนึ่ง ทำหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และเอกชน กำหนดให้มีการฉลองวันเด็กแห่งชาติ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จุดประสงค์เพื่อให้เด็กทั่วประเทศทั้งในระบบโรงเรียนและนอกระบบโรงเรียน ได้รู้ถึงความสำคัญของตน เกี่ยวกับสิทธิ หน้าที่ ความรับผิดชอบ ระเบียบวินัย ที่มีต่อตนเองและสังคม มีความยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
ในวันเด็กแห่งชาติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะพระราชทานพระบรมราโชวาท สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ทรงโปรดระทานพระคติธรรม และ ฯพณฯ ท่านนายกรัฐมนตรี จะมอบคำขวัญวันเด็กให้กับเด็กไทยทุกปี
สำหรับคำขวัญวันเด็กประจำปีนี้ที่นายกรัฐมนตรี ชวน หลีกภัย มอบให้กับเด็กๆ คือ "มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ คู่คุณธรรม นำประชาธิปไตย"
เด็กคือทรัพยากรที่สำคัญยิ่งของประเทศชาติ ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาชาติ บ้านเมือง ให้เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า และมั่นคงอีกทั้งเป็นผู้ที่จะต้องเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า เพื่อทำหน้าที่ดูแลสังคม ตลอดจนเศรษฐกิจ วัฒนธรรม ความเปลี่ยนแปลง และอื่นๆ ฯลฯ
ดังนั้น ทุกสังคมจึงให้ความสำคัญแก่เด็ก และจัดให้มีวันเด็กขึ้นทุกปี เพื่อให้เด็กรูถึงความสำคัญของตนเอง จะได้ประพฤติปฏิบัติตนให้สมกับเป็นผู้ที่มีความสำคัญของประเทศชาติ ด้วยการตั้งใจใฝ่เรียนรู้ ประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในระเบียบวินัย รู้จักการใช้เวลา ความคิด มีความขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ และซื่อสัตย์สุจริต ฯลฯ

คำขวัญวันเด็กปี 2548เด็กรุ่นใหม่ ต้องขยันอ่าน ขยันเรียน กล้าคิด กล้าพูดความเป็นมา...วันเด็กที่มาในการจัดงานวันเด็กแห่งชาติเกิดจากความคิดเพื่อกระตุ้น ให้เด็กได้ตระหนักถึงความสำคัญของตนเอง โดยนายวี เอ็ม กุลกานี ผู้แทนองค์การสหพันธ์เพื่อสวัสดิการเด็กระหว่างประเทศ เป็นผู้เสนอต่อ กรมประชาสงเคราะห์ ให้มีการจัดงานวันเด็กแห่งชาติขึ้น เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนได้เห็นความสำคัญของเด็ก สำหรับงานวันเด็กแห่งชาติในเมืองไทยครั้งแรกนั้น จัดขึ้นในวันจันทร์แรก ของเดือนตุลาคม พ.ศ. 2498 และได้จัดต่อกันมาเป็นประจำทุกปี จนถึง พ.ศ. 2506 จึงมีความคิดว่าควรจะเปลี่ยนไปจัดงานวันเด็กในวันเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคมเนื่องจากเห็นว่า เป็นช่วงที่พ้นจากฤดูฝนมาแล้ว และเป็นวันหยุดราชการทำให้เกิด ความสะดวกด้วยประการทั้งปวง แต่ในปีถัดมา คือปี พ.ศ. 2507 ไม่สามารถจัดงานวันเด็กได้ทันจึงได้เริ่มจัดในปี พ.ศ. 2508 ซึ่งถือเอาวันเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคมเป็นวันเด็กแห่งชาติมาจนถึงบัดนี้ รัฐบาลได้จัดให้มีคณะกรรมการจัดงานวันเด็กแห่งชาติขึ้นมาคณะหนึ่ง ทำหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และเอกชนกำหนดให้มีการฉลองวันเด็กแห่งชาติทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จุดประสงค์เพื่อให้เด็กทั่วประเทศทั้งในระบบโรงเรียนและนอกระบบโรงเรียน ได้รู้ถึงความสำคัญของตน เกี่ยวกับสิทธิ หน้าที่ ความรับผิดชอบ ระเบียบวินัย ที่มีต่อตนเองและสังคม มีความยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองในระบบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ทุกๆ ปี ในวันนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะพระราชทานพระบรมราโชวาท สมเด็จพระสังฆราชฯ ทรงโปรดประทานพระคติธรรม และ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีจะมอบคำขวัญวันเด็ก แสดงให้เห็นว่าเด็กเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่ามากที่สุดของชาติ เราจึงได้ยินคำพูดอยู่บ่อย ๆ ว่า "เด็กคืออนาคตของชาติ เด็กฉลาด ชาติเจริญ"
ความหมาย
ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ได้ให้ความหมายของคำว่า "เด็ก" ไว้ คือ "เด็ก" หมายถึง คนที่มีอายุยังน้อย ยังเล็ก อ่อนวัน เช่น เด็กชาย คือ คำนำเรียกเด็กผู้ชายที่มีอายุไม่เกิน 14 ปีบริบูรณ์ และเด็กหญิง คือ คำนำเรียกเด็กผู้หญิงที่มีอายุไม่เกิน 14 ปี บริบูรณ์ความเป็นมา
เด็กนับเป็นทรัพยากรบุคคลที่สำคัญของประเทศ เป็นพลังสำคัญในการพัฒนาชาติบ้านเมือง ให้เจริญก้าวหน้าและมั่นคง ดังนั้น เด็กจึงควรที่จะเตรียมตัวที่จะเป็นกำลังของชาติด้วย หากเด็กทุกคนได้ตระหนักถึงอนาคตของตนและของประเทศชาติ ไม่ว่าจะเป็นการขยันหมั่นศึกษาหาความรู้ และใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ ประพฤติตนอยู่ในระเบียบวินัย มีความขยันขันแข็ง ตลอดจนมีความเมตตากรุณา ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อผู้อื่น เสียสละเพื่อส่วนรวมดังนี้แล้ว ก็จะได้ขึ้นชื่อว่าเป็น "เด็กดี" ชาติบ้านเมืองก็จะเจริญมีความผาสุกร่มเย็นต่อไป
ความคิดในการจัดงานวันเด็กแห่งชาติ เพื่อกระตุ้นให้เด็กได้ตระหนักถึงความสำคัญของตนเองนั้น นายวีเอ็ม กุลกานี ผู้แทนองค์การสหพันธ์เพื่อสวัสดิภาพเด็กระหว่างประเทศ ได้เสนอต่อกรมประชาสงเคราะห์ให้มีการจัดงานวันเด็กแห่งชาติขึ้น เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนทั่วไป เห็นความสำคัญของเด็ก วันเด็กแห่งชาติของประเทศไทยจึงจัดให้มีขึ้นในวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคม พ.ศ. 2498 และปฏฺบัติกันเรื่อยมาจนถึงปี พ.ศ. 2506 ต่อมาเห็นว่า วันเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคม เหมาะสมสำหรับการจัดงานวันเด็กมากกว่า เนื่องจากพ้นฤดูฝนและเป็นวันหยุดราชการ แต่ในปี พ.ศ. 2507 ไม่สามารถจัดงานวันเด็กได้ทัน จึงได้จัดกันตั้งแต่ปี พ.ศ. 2508 งานวันเด็กแห่งชาติจึงจัดให้มีขึ้นในวันเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคม มาจนถึงบัดนี้ ในการจัดงานวันเด็กแห่งชาตินั้น
รัฐบาลได้จัดให้มีคณะกรรมการจัดงานฉลองวันเด็กขึ้นคณะหนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐบาลและเอกชน ให้เด็กทั้งในระบบโรงเรียนและนอกระบบโรงเรียนพร้อมกันทั่วประเทศ เพื่อให้เด็ก ได้รู้ถึงความสำคัญของตนเอง รู้ถึงความมีระเบียบวินัย รู้จักสิทธิหน้าที่ความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม ทุก ๆ ปี เมื่อถึงวันเด็กแห่งชาติ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะพระราชทานพระบรมราโชวาท สมเด็จพระสังฆราชเจ้าทรงโปรดประทานพระคติธรรม และ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี จะมอบคำขวัญวันเด็กให้กับเด็กไทยทุกปี ซึ่งล้วนเป็นการเสนอแนะให้แนวทางที่เด็กสามารถปฎิบัติได้ พลังของเด็กในปัจจุบัน ถ้ามีพื้นฐานมาแต่เริ่มต้น ไม่ว่าจะเป็นการคิดและทำในสิ่งที่ดีและละเว้นความชั่ว ก็จะเป็นประโยชน์มหาศาลแก่ประเทศชาติกิจกรรม
ข้อเสนอแนะและตัวอย่างกิจกรรมในการจัดงานวันเด็กแห่งชาติ เช่น การจัดประชุม สัมมนา ในเรื่องบทบาทและหน้าที่ของเด็กที่พึงปฏิบัติต่อสมาชิกในครอบครัว หรืออาจจะมีการจัดกิจกรรมพิเศษสำหรับเด็ก มอบของขวัญในโอกาสวันสำคัญนี้ให้แก่เด็ก ๆ ที่มีความประพฤติดี และ กิจกรรมอื่น ๆ ที่เหมาะสม เป็นต้นความหมายของวันเด็ก
คำขวัญวันเด็กแห่งชาติ จากนายกรัฐมนตรีในปีต่างๆ
ในปี พ.ศ. 2502 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้เห็นคุณค่าความสำคัญ ของเด็กจึงมอบคำขวัญให้เป็นข้อคิด สำหรับเด็ก นายกรัฐมนตรี ในสมัยต่อๆมา จึงได้ถือปฎิบัติสืบต่อมาดังต่อไปนี้

พ.ศ.2502 ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้าจงเป็นเด็กที่รักความก้าวหน้า
พ.ศ.2503 ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้าจงเป็นเด็กที่รักความสะอาด
พ.ศ.2504 ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้าจงเป็นเด็กที่อยู่ในระเบียบวินัย
พ.ศ.2505 ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้าจงเป็นเด็กที่ประหยัด
พ.ศ.2506 ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้าจงเป็นเด็กที่มีความขยันหมั่นเพียร
พ.ศ.2507 งดจัดงานวันเด็ก
พ.ศ.2508 เด็กจะเจริญต้องรักเรียนและเพียรทำดี
พ.ศ.2509 เด็กที่ดีต้องมีสัมมาคารวะ มานะ บากบั่น และสมานสามัคคี
พ.ศ.2510 อนาคตของชาติจะสุกใส หากเด็กไทยแข็งแรง เรียนดี และมีความประพฤติเรียบร้อย
พ.ศ.2511 ความเจริญและความมั่นคงของไทยในอนาคตขึ้นอยู่กับเด็กที่มีวินัย เฉลียวฉลาดและรักชาติยิ่งพ.ศ.2512 รู้เรียน รู้เล่น รู้สามัคคี เป็นความดีที่เด็กพึงจำ
พ.ศ.2513 เด็กประพฤติดีและศึกษาดีทำให้มีอนาคตแจ่มใส
พ.ศ.2514 ยามเด็กจงหมั่นเรียน เพียรกระทำดี เติบใหญ่จะได้มีความสุขความเจริญ
พ.ศ.2515 เยาวชนฝึกตนดี มีความสามารถ
พ.ศ.2516 เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติเจริญ
พ.ศ.2517 สามัคคี คือ พลัง
พ.ศ.2518 เด็กคือทายาทของชาติไทย ต้องร่วมใจร่วมพลังสร้างความดี
พ.ศ.2519 เด็กที่ต้องการเห็นอนาคตของชาติรุ่งเรืองจะต้องทำตัวให้ดี
พ.ศ.2520 รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นคุณสมบัติของเยาวชน
พ.ศ.2521 เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติมั่นคง
พ.ศ.2522 เด็กไทยคือหัวใจของชาติ
พ.ศ.2523 อดทน ขยัน ประหยัด เป็นคุณสมบัติของเด็กไทย
พ.ศ.2524 เด็กไทยมีวินัย ใจซื่อสัตย์ รู้ประหยัด เคร่งครัดคุณธรรม
พ.ศ.2525 ขยัน ศึกษา ใฝ่หาความรู้ เชิดชูชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นคุณสมบัติของเด็กไทย
พ.ศ.2526 รู้หน้าที่ ขยัน ซื่อสัตย์ ประหยัด มีวินัย และคุณธรรม
พ.ศ.2527 รักวัฒนธรรมไทย ใฝ่ดี มีความคิด สุจริต ใจมั่น หมั่นศึกษา
พ.ศ.2528 สามัคคี มีวินัย ใฝ่คุณธรรม
พ.ศ.2529 นิยมไทย ใช้ประหยัด ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม
พ.ศ.2530 นิยมไทย มีวินัย ใช้ประหยัด ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม
.ศ.2531 นิยมไทย มีวินัย ใช้ประหยัด ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม
พ.ศ.2532 รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม
พ.ศ.2533 รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม
พ.ศ.2534 รู้หน้าที่ มีวินัย ใฝ่คุณธรรม นำชาติพัฒนา
พ.ศ.2535 สามัคคี มีวินัย ใฝ่ศึกษา จรรยางาม
พ.ศ.2536 ยึดมั่นประชาธิปไตย ร่วมใจพัฒนา รักษาสิ่งแวดล้อม
พ.ศ.2537 ยึดมั่นประชาธิปไตย ร่วมใจพัฒนา รักษาสิ่งแวดล้อม
พ.ศ.2538 สืบสานวัฒนธรรมไทย ร่วมใจพัฒนา รักษาสิ่งแวดล้อม
พ.ศ.2539 มุ่งหาความรู้ เชิดชูความเป็นไทย หลีกไกลยาเสพติด
พ.ศ.2540 รู้คุณค่าวัฒนธรรมไทย ตั้งใจใฝ่ศึกษา ไม่พึ่งพายาเสพติด
พ.ศ.2541 ขยัน ซื่อสัตย์ ประหยัด มีวินัย
พ.ศ.2542 ขยัน ซื่อสัตย์ ประหยัด มีวินัย
พ.ศ.2543 มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ คู่คุณธรรม นำประชาธิปไตย
พ.ศ.2544 มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ คู่คุณธรรม นำประชาธิปไตย
พ.ศ.2545 เรียนให้สนุก เล่นให้มีความรู้ มุ่งสู่อนาคตที่สดใส
พ.ศ.2546 เรียนรู้ตลอดชีวิต คิดอย่างสร้างสรรค์ ก้าวทันเทคโนโลยี
พ.ศ.2547 รักชาติ รักพ่อแม่ รักเรียน รักสิ่งดีๆ อนาคตดีแน่นอน
พ.ศ.2548 เด็กรุ่นใหม่ ต้องขยันอ่าน ขยันเรียน กล้าคิด กล้าพูด
พ.ศ.2549 เด็กฉลาดต้องขยันอ่าน ขยันคิด
พ.ศ.2550 คุณธรรมนำใจ ใช้ชีวิตพอเพียง หลีกเลี่ยงอบายมุข
พ.ศ.2551 สามัคคีมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ เชิดชูคุณธรรม