วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ต้นคริสต์มาส

ในสมัยโบราณ "ต้นคริสต์มาส" หมายถึง ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบผลไม้มากิน และทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ชาวคริสต์แสดงละครที่หน้าวัด ถึงความหมายของคริสต์มาส และเอาต้นไม้ต้นหนึ่งไว้ตรงกลาง เพื่อประดับฉาก แสดงถึงบาปกำเนิดของอาดัมและเอวา ต้นไม้ที่ใช้เป็นต้นสน เนื่องจากเป็นต้นไม้ ที่หาง่ายที่สุดในประเทศเหล่านั้น การแสดงละครคริสต์มาสแบบนี้ มีมาเป็นเวลาช้านานหลายร้อยปี จนถึงศตวรรษที่ 15 พระสังฆราชหลายแห่งได้ห้ามแสดง เนื่องจากการแสดงนั้น กลายเป็นการเล่นเหมือนลิเก ล้อชาวบ้าน ผู้ปกครองบ้านเมือง และศาสนา ซึ่งไม่ตรงกับบรรยากาศของการฉลอง ชาวบ้านรู้สึกเสียดาย ที่ไม่มีโอกาสดูละครสนุกๆ แบบนั้นอีก จึงไปสนุกกันที่บ้านของตน โดยเอาต้นไม้มาไว้ที่บ้าน หลังจากนั้น ก็เริ่มมีการแขวนลูกแอปเปิ้ล ขนมและของขวัญอย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้
นอกจากนั้น ชาวเยอรมันยังมีประเพณีอีกอย่างหนึ่งคือ มีการจุดเทียนหลายเล่มเป็นรูปปิรามิด ไว้ตลอดคืนคริสต์มาส โดยมีดาวของดาวิดที่ยอดปิรามิด ซึ่งประเพณีที่จะแขวนของขวัญและขนม ก็ได้รวมกับประเพณีของชาวเยอรมันนี้ มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 โดยเอาเทียนมาไว้ที่ต้นไม้ เป็นรูปทรงปิรามิด นี่เป็นที่มาของประเพณีปัจจุบัน ที่มีการแขวนของขวัญ และไฟกระพริบไว้ที่ต้นคริสต์มาส และมีดาวของดาวิดไว้ที่สุดยอด ประเพณีนี้ เป็นที่นิยมชมชอบของชาวตะวันตกอยู่มาก
แม้ว่าประเพณีการตั้งต้นคริสต์มาส มีความเป็นมาดังกล่าว ชาวคริสต์ในสมัยนี้ ก็ยังนิยมทำกันอยู่ เพราะเห็นว่า มีความหมายถึงพระเยซูเจ้า ผู้เปรียบเสมือนต้นไม้แห่งชีวิต (ปฐก.2:9) ที่เขียวสดเสมอในทุกฤดูกาล ซึ่งหมายถึง นิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า และนอกจากนั้นยังหมายถึง ความสว่างของพระองค์ เสมือนแสงเทียนที่ส่องในความมืด ทั้งยังหมายถึง ความชื่นชมยินดี และความสามัคคี ที่พระเยซูเจ้าประทานให้ เพราะต้นไม้นั้น เป็นจุดรวมของครอบครัวในเทศกาล

วันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2551

กวางเรนเดียร์ ต้อนรับคริสมาสต์


เรามักพบกวางเรนเดียร์ (reindeer) ในประเทศที่เรียงรายรอบมหาสมุทรอาร์กติก เช่น นอร์เวย์ แคนาดา ไซบีเรีย สวีเดน ฟินแลนด์ กรีนแลนด์ และอะแลสกา เพราะภูมิประเทศแถบนี้หรือที่เรียกว่า tundra นั้น เมื่อถึงหน้าหนาวที่มีหิมะตกนาน ๙ เดือนใน ๑ ปี น้ำในทะเลสาบและแม่น้ำจะกลายเป็นน้ำแข็ง และการมีฤดูร้อนที่นาน ๒-๓ เดือนซึ่งสั้นมาก ทำให้ต้นไม้ขนาดใหญ่ไม่ขึ้น จะมีก็แต่ต้นไม้ขนาดเล็กและหญ้ามอสส์เท่านั้นที่ขึ้นได้ และเมื่อถึงหน้าร้อนที่หิมะละลาย ดอกไม้จะเริ่มบาน แมลงจะออกบิน ดวงอาทิตย์จะขึ้นสูง ๆ ทุกวัน กลางวันจะนานขึ้น ๆ จนในที่สุด ดวงอาทิตย์ก็จะยังปรากฎแม้เป็นเวลาเที่ยงคืน แล้วฤดูหนาวก็หวนกลับมาอีก นั่นคือกลางวันจะสั้นลง ๆ จนในที่สุดก็ไม่มีกลางวันเลย
นี้คือสภาพของภูมิประเทศที่กวางเรนเดียร์อาศัยอยู่ แต่กวางชนิดนี้ก็ไม่ชอบอยู่ติดที่ เพราะเมื่อถึงหน้าหนาว ฝูงกวางจะพากันอพยพลงใต้ เวลากวางอพยพย้ายถิ่น มันจะเดินเป็นขบวนอย่างรู้จุดหมาย โดยให้ตัวเมียเดินนำไปก่อน แล้วอีก ๒-๓ ตัวต่อมา ตัวผู้ก็จะเดินตาม และขณะอพยพศัตรูของมันซึ่งได้แก่ สุนัขป่าก็ อาจเฝ้าดูอยู่ใกล้ขบวน เพื่อจับกินกวางตัวที่อ่อนแอ หรือตัวที่พลัดฝูง หรือตัวที่เดินไม่ทันเพื่อน อนึ่ง เวลาอพยพเหล่ากวางจะทยอยเดินตามกันอย่างต่อเนื่อง คือไม่หยุดเดินแม้เห็นรถไฟกำลังมา ดังนั้น รถไฟก็จะหยุดให้ฝูงกวางข้ามทางรถไฟจนหมด เพราะถ้ารถไฟไม่หยุด ฝูงกวางก็จะเดินพุ่งชนรถไฟเรื่อย ๆ เมื่อฝูงกวางเดินทางถึงจุดหมายปลาย ทาง ซึ่งเป็นสถานที่ที่อากาศอบอุ่น และมีอาหารอุดมสมบูรณ์ มันจะเริ่มผสมพันธุ์เพื่อให้ลูกกวางเกิดทันฤดูใบไม้ผลิต
กวางเรนเดียร์มีลำตัวสูงประมาณ ๑ เมตร ส่วนกวาง caribou ซึ่งเป็น กวางเรนเดียร์อีกพันธุ์หนึ่งที่เลี้ยงกันมากในอเมริกาเหนือนั้น มีลำตัวสูงกว่าคือ ประมาณ ๑.๓ เมตร ถึงแม้จะสูงต่างกัน แต่กวางเรนเดียร์ทุกตัวก็มีคอหนา ลำตัวยาว เท้ามี ๒ กีบเหมือนเท้าวัว ฉะนั้น เวลายืนบนหิมะกีบทั้งสองจะแยกออกเพื่อรับน้ำหนักตัวไม่ให้จมลงในหิมะ และกวางมักใช้กีบที่คมนี้คุ้ยเขี่ยหาอาหารที่ฝังอยู่ใต้หิมะกิน ตามปรกติกวางจะอ้วนท้วนสมบูรณ์ในหน้าร้อน ซึ่งเป็นเวลาที่มันมีอาหารอุดมสมบูรณ์ และเมื่อถึงหน้าหนาวซึ่งเป็นเวลาที่อาหารขาดแคลน กวางจะผอม กวางเรนเดียร์ชอบใช้ชีวิตเป็นฝูง การยืนเป็นกลุ่มนอกจากจะทำให้ร่างกายของมันอบอุ่น เวลาพายุหิมะพัดแล้ว ยังช่วยให้สุนัขป่าไม่กล้าเข้ามาลอบฆ่ามันด้วย เพราะถ้ากวางตัวใดพลัดหลงฝูง กวางตัวนั้นก็มีสิทธิถูกสุนัขป่าฆ่าทันที เพราะสุนัขป่าจะวิ่งไล่ล่ามันอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยจนกวางที่พลัดหลงฝูงนั้น หมดแรง และยอมให้สุนัขป่ากัดมันในทีสุด กวางเรนเดียร์ตามปรกติเปลี่ยนสีขน เช่น ในหน้าร้อนขนที่ขึ้นดกตามตัวจะมีสีน้ำตาล ขนคอจะมีสีขาว และขนท้องก็ขาว แต่เมื่อถึงหน้าหนาว ขนตัวจะเปลี่ยนเป็นสีเทา เพื่อให้เข้ากับสีของหิมะที่กำลังจะตกและชาวเอสกิโมและชาวแลปป์มักใช้ขนกวางทอเป็นเสื้อกันหนาว เป็นผ้าห่ม เพราะได้พบว่าขนให้ความอบอุ่น ส่วนหนังกวางนั้นนิยมใช้ทำเตนท์ที่มีลักษณะเหมือนกระโจมอินเดียนแดง ทั้งนี้เพราะหนังกวางสามารถทนพายุหิมะที่พัดไม่รุนแรงนักได้ นอกจากนี้ นมกวางก็ยังสามารถใช้เป็นเครื่องดื่มได้ด้วย ชาวแลปป์ชอบเลี้ยงกวางเรนเดียร์เป็นสัตว์เลี้ยงเหมือนกับที่ชาวอินเดียนิยมเลี้ยงวัว และชาวยุโรปนิยมเลี้ยงแกะ และมักมีประเพณีเชื่อกันว่า จำนวนกวางคือดัชนีชี้บอกฐานะของเจ้าของ เช่น ถ้ามีใครมีกวางน้อยกว่า ๒๕ ตัว คนคนนั้นยากจน เขาจึงอาจต้องนำกวางที่ตนมีไปฝากเลี้ยงกับคนอื่นที่ร่ำรวยกว่า แล้วรับจ้างเป็นผู้ดูแลกวางทั้งฝูงให้ และเพื่อให้รู้ว่ากวางตัวใดเป็นของตน เจ้าของกวางมักใช้วิธีทำเครื่องหมายแสดงความเป็นเจ้าของที่หูกวางตัวนั้น ๆ หน้าที่หลักหนึ่งของกวางเรนเดียร์คือ ลากเลื่อน เพราะกวางชนิดนี้แข็งแรงและชินกับสภาพอากาศ ดังนั้น หากเป็นการเดินทางระยะสั้นความเร็วในการเดินทางอาจสูงถึง ๔๐ กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ถ้าเป็นการเดินทางไกล กวางอาจเดินได้ไกล ๑๖๐ กิโลเมตรในหนึ่งวัน กวางเรนเดียร์เป็นสัตว์ที่ไม่ชอบต่อสู้กับสัตว์อื่น แต่ชอบต่อสู้กันเองเวลาแย่งตัวเมีย กวางตัวผู้ที่มีเขาสวย จะขวิดจะชนกัน จนตัวหนึ่งชนะแล้ว มันก็จะสร้างฮาเร็มส่วนตัวซึ่งมีตัวเมียหลายตัวเป็นสมาชิก แต่ถ้าการต่อสู้ไม่ยุติมันก็จะสู้กันไปเรื่อย ๆ โดยไม่หยุดกินอาหารจนบางครั้งเขากวางพันกันอย่างแยกจากกันไม่ได้ หากเหตุการณ์ที่ว่านี้บังเกิด กวางก็จะอดอาหารตายทั้งคู่
ในหนังสือเรื่อง Can Reindeer Fly? ของ Roger Highfield ที่จัดพิมพ์โดยบริษัท Metro ISBN 1900512440 ราคา ๑๓ ปอนด์ Highfield ได้กล่าวถึงความเป็นวิทยาศาสตร์ของเทศกาลคริสต์มาสเช่นว่า Santa Claus ใช้กวางเรนเดียร์ลากเลื่อนไปเยือนบ้านนับพันล้านบ้านในคืนวันคริสต์มาสเพียง คืนเดียวได้อย่างไร แต่ถ้าพิจารณาความเป็นไปได้ เราก็จะเห็นว่าเรื่อง Santa Claus กับกวางเรนเดียร์นี้เป็นนิทาน เพราะ
(๑) เท่าที่ประจักษ์ ไม่มีกวางเรนเดียร์ชนิดใดพันธุ์ใดบินได้หรือเหาะได้
(๒) โลกนี้มีเด็กที่มีอายุต่ำกว่า ๑๘ ปี ประมาณ ๒,๐๐๐ ล้านคน ซึ่งเด็กกลุ่มนี้เป็นเด็กนับถือมุสลิม ฮินดู พุทธ คริสต์ ฯลฯ ดังนั้น ถ้าพิจารณาเฉพาะเด็กที่นับถือคริสต์ศาสนา ซึ่ง Santa Claus จะต้องไปเยี่ยมจำนวนก็จะลดลงเหลือประมาณ ๓๘๐ ล้านคน ซึ่งจะกระจายอยู่ตามบ้านต่าง ๆ ประมาณ ๙๒ ล้านบ้าน และถ้าบ้านเหล่านี้แต่ละบ้านมีเด็กนิสัยดี ๑ คน นั่นก็หมายความว่า
(๓) Santa Claus มีเวลา ๓๑ ชั่วโมง ในการเดินทางไป เยี่ยมเด็กใน ๙๒ ล้านบ้านทุกคน นั่นคือ Santa Claus ต้องเยี่ยมบ้านให้ได้ ๘๒๔ หลัง ใน ๑ วินาที และถ้าเราประมาณว่า Santa Claus ใช้เวลา ๑/๑,๐๐๐ วินาที ในการจอดเลื่อน กระโดดจากเลื่อนลงทางปล่องไฟ เอาของขวัญใส่ถุงเท้าเด็กแล้วเอาของขวัญที่เหลือวางใต้ต้นคริสต์มาส กระโจนขึ้นปล่องไฟแล้วขับเลื่อนไปบ้านถัดไปหากบ้านแต่ละบ้านอยู่ห่างกัน ๑.๒๕ กิโลเมตร Santa Claus ต้องเดินทาง ๑.๒๕x๙๒ ล้านกิโลเมตร = ๑๑๕ ล้านกิโลเมตร ในคืนวัน Christmas ด้วยความเร็ว ๑,๐๔๐ กิโลเมตร/วินาที ซึ่งนับว่าเร็วประมาณ ๓,๐๐๐ เท่าของความเร็วเสียง
(๔) สำหรับประเด็นน้ำหนักของขวัญบนเลื่อน ถ้าเรากำหนดให้เด็กแต่ละคนได้ของขวัญคนละ ๑ กิโลกรัม เลื่อนจะต้องบรรทุกน้ำหนักถึง ๙๒ ล้านตัน และต้องลากด้วยกวาง ๖๒ ล้านตัว
(๕) แล้วกวาง ๖๒ ล้านตัวที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงถึง ๑,๐๔๐ กิโลเมตร/วินาที จะถูกอากาศเสียดสีจนร้อนลุกไหม้ และสิ้นใจตายในทันทีทันใด และพร้อมกันนั้นก็จะมีเสียงโซนิกบูมเกิดขึ้นด้วย ภายในพริบตาตัว Santa เองก็จะถูกเผาไหม้จนตายไปด้วย ดังนั้น เรื่องเล่าที่ว่า Santa มีจริง และกวางเรนเดียร์เหาะได้ และเด็กดีทุกคนได้รับของขวัญวันคริสต์มาสอีฟเป็นนิทาน.

วันเสาร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ตำนานคุณลุงซานต้าขวัญใจหนู ๆ ^0^

เมื่อเอ่ยถึงซานตาคลอส เราก็จะนึกถึงภาพของชายชราอ้วนหน้าตาใจดี มีหนวดเครายาว สวมหมวกแต่งชุดสีแดง นั่งมาบนเลื่อนหิมะเทียมด้วยกวางเรนเดียร์ พร้อมกับถุงของขวัญเพื่อนแจกเด็กๆ ในคืนวันคริสต์มาสเด็กๆจะนำถุงเท้ามาแขวนบนเตาพิง ด้วยเชื่อว่าตอนดึกซานตาคลอสจะปีนปล่องไฟลงมาเพื่อนำของขวัญมาใส่ไว้ในถุงเท้า ที่มาของซาตาคลอสนั้นได้เล่ากันเป็นตำนานไว้ว่า เมื่อพันกว่าปีมาแล้วที่เมืองปาตาราอันเก่าแก่ของประเทศตุรกี เด็กชายคนหนึ่งชื่อว่านิโคลาส ได้ถือกำเนิดขึ้นมาในครอบครัวชาวคริสต์ที่ร่ำรวย ต่อมาได้เกิดโรคระบาดบิดามารดาเขาเสียชีวิตและทิ้งมรดกมหาศาลไว้ให้ แต่แทนที่นิโคลาสจะใช้ชีวิตเช่นเศรษฐีหนุ่มทั่วๆไป เขากลับฝักใฝ่คิดจะช่วยเหลือผู้คนที่ยากจน แต่การช่วยเหลือของนิโคลาสนั้นจะทำแบบลับๆไม่เปิดเผย เช่น นำถุงเงินโยนไปให้บ้านที่กำลังเดือดร้อนแล้วแอบหลบไป ชาวบ้านต่างพากันอยากรู้ว่าผู้ที่ช่วยเหลือตนนั้นเป็นใคร และในที่สุดก็สืบรู้ว่าผู้ใจบุญนั้นคือนิโคลาส เรื่องราวของเขาจึงถูกเปิดเผยและเล่าลือกันไปทั่ว ด้วยความเป็นผู้ฝักใฝ่ในศาสนา เขาจึงหันชีวิตไปเป็นนักบวชที่เมืองมายรา อุทิศตนให้กับคริสต์ศาสนาในเมืองนั้นจนเจริญรุ่งเรือง และยังคงให้ความช่วยเหลือแก่ผู้เดือดร้อนสม่ำเสมอ เมื่อสิ้นชีวิตศพของท่านถูกนำไปเก็บไว้ที่สุสานภายในโบสถ์ จนเวลาล่วงเลยไปหลายปีจึงมีผู้แสวงบุญไปเคารพศพท่าน แล้วต้องพากันตกตะลึงที่พบว่ากระดูกของท่านนั้นมีน้ำไหลซึมออกมา ด้วยความศรัทธาพวกเขาได้นำน้ำที่ไหลจากกระดูกนั้นไปทำเป็นยารักษาโรค ปรากฏว่าได้ผลเป็นที่อัศจรรย์เลื่องลือไปทั่ว จึงยกย่องท่านให้เป็นนักบุญเซนต์นิโคลาส ต่อมากลุ่มพ่อค้าจากเมืองบาริของอิตาลี ต้องการให้ผู้คนหลั่งใหลมายังโบสถ์ที่พวกตนสร้าง จึงลักลอบขโมยกระดูกของเซนต์นิโคลาสจากเมืองมายราไปไว้ยังโบสถ์ของตน เพื่อให้ผู้คนตามมาเคารพ และได้กำหนดวันที่ 6 ธันวาคมของทุกปีซึ่งตรงกับวันมรณภาพของเซนต์นิโคลาส เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ทำการเฉลิมฉลอง แจกสิ่งของแก่ผู้ยากไร้ดังเช่นที่เซนต์นิโคลาสเคยทำมา แม่ชีในฝรั่งเศสได้คิดวิธีการแจกสิ่งของในวันนี้โดยนำขนมหวานห่อเป็นของขวัญใส่ในถุงเท้าแล้วไปแขวนตามบ้านเด็กยากจน เด็กๆต่างดีใจที่มีขนมกินกันอย่างเอร็ดอร่อย แต่นั้นมาเมื่อถึงวันฉลองเซนต์นิโคลาส เด็กๆก็จะพากันแขวนถุงเท้าไว้คอยขนมหรือของขวัญจนกลายเป็นประเพณี และได้เลื่อนงานนี้ไปฉลองพร้อมกับเทศกาลคริสต์มาสในภายหลัง ต่อมามีจิตรกรของอเมริกาชื่อว่า"โธมัส นาสด์"ได้วาดภาพเซนต์นิโคลาสขึ้นมาเป็นบุรุษชราร่างอ้วนหนวดยาวใส่ชุดสีแดง เรียกชื่อใหม่ว่า"ซานตาคลอส"และได้กลายเป็นภาพสัญลักษณ์ของซานต้าที่รู้จักกันมาจนทุกวันนี้

วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ประวัติ วัน คริสต์มาส

คริสต์มาส
คือ การฉลองการบังเกิดของพระเยซูที่เราเฉลิมฉลองกันในวันที่ 25 ธันวาคม
คำว่า "คริสต์มาส" เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณ
ว่า Christes Maesse ที่แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า"
คำว่า "Christes Maesse" พบครั้งแรกในเอกสารโบราณเป็นภาษาอังกฤษในปี 1038
และคำนี้ก็ได้แปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas ในภาษาไทย "คริสต์มาส" ก็มีความหมาย
เช่นกัน คำว่า "มาส" แปลว่า "เดือน"
เทศกาลคริสต์มาสจึง เป็นเดือนที่เราระลึกถึงพระเยซูคริสต์เจ้าเป็นพิเศษ
คำว่า"มาส" คือ"ดวงจันทร์" ตีความหมายในภาษาไทยคือพระเยซูทรงเป็นความสว่างของโลก
เหมือนดวงจันทร์ เป็นความสว่างในตอนกลางคืน Merry X'mas คำว่า Merry
ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า"สันติสุขและความสงบทางใจ" คำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่น
ขอให้เขาได้รับสันติสุขและความสงบทางใจ ถือเอาประเพณีของชนในท้องถิ่นนั้น
มาประยุกต์เข้ากับศาสนา โดยจัดให้มีการฉลองเพื่อระลึก ถึงการบังเกิดของพระเยซู
ที่เขายกย่องเหมือนกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสากลโลก ผู้ทรงเกียรติเลอเลิศประเพณี นี้
ได้เริ่มมาจากรุงโรมในศตวรรษ ที่ 4 และ ค่อยๆ เผยแพร่ไปทุกทวีป
ประวัติ....ซานตาคลอส
วันคริสต์มาสนี้เริ่มตั้งแต่คริสตวรรษที่4 มีนักบุญคนหนึ่งชื่อ "นิโคลาส "
หรือ "เซนต์นิโคลาส" ท่านเป็นนักบุญ ตั้งแต่อายุยังน้อย เมื่อเป็นเด็กหนุ่ม
ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นสังฆราชแห่งแคว้นไมรา ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศตุรกี
ท่านได้กลายเป็นนักบุญอุปถัมถ์ประจำชีวิตเด็ก เด็กในประเทศอังกฤษ จะเรียกคุณตาใจ
ดีว่า "คุณพ่อแห่งวันคริสต์มาส" ( Father Christmas )
เด็กเยอรมันนีเรียกว่า "ญาติแห่งพระคริสต์ " ( Christ Child )
เด็กชาวดัชท์เรียกว่า "ซาน นิโคลาส" หรือ "Sankt Klous"
ในที่สุดกลายเป็น "ซานตาคลอส" ติดปากเด็กๆทั่วโลก
ในปี ค.ศ. 1866 นักวาดการ์ตูนชาวอเมริกัน ชื่อ โธมัส แนส เป็นคนแรกที่วาดภาพของ
ซานตาคลอสขึ้นมาลักษณะเหมือนที่เรา เห็นทุกวันนี้ ลงพิมพ์ในหนังสือ
"Horpers Weekly"เป็นครั้งแรกใบหน้าของซานตาคลอส
เป็นสีแดงอมชมพูเหมือนกลีบกุหลาบ จมูกแดงเหมือนผลเชอรี่สุก
นัยน์ตาสุกใสเป็นประกาย หนวดเคราสีขาวท่าทางใจดี ถึงแม้ซานตาคลอสจะเป็นเพียง
ตำนานที่เกิดขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสก็ตาม แต่ก็เป็นสัญลักษณ์
ที่รวมเอาวิญญาณและความหมายของคริสต์มาสไว้อย่างมากมาย คือความปิติยินดีชื่นชม
ความโอบอ้อมอารี ความรัก และความเป็นกันเอง

..ต้นคริสต์มาส.. ในสมัยโบราณหมายถึงต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบผลไม้มากิน
และทำบาปไม่เชื่อฟังพระเจ้า ตั้งแต่ศตวรรษที่11 ชาวคริสต์แสดงละครที่หน้าวัด
ถึงความหมายของคริสต์มาสและเอาตันไม้ต้นหนึ่งไว้ตรงกลางเพื่อประดับฉากแสดงถึง
บาปกำเนิดของอาดัมและเอวาต้นไม้ที่ใช้เป็นต้นสน เนื่องจากเป็นต้นไม้ที่หาง่าย
ที่สุดในประเทศเหล่านั้น การแสดงละครคริสต์มาสแบบนี้ มีมาเป็นเวลาช้านานหลายร้อยปี
จนถึงศตวรรษที่15 พระสังฆราชหลายแห่งได้ห้ามแสดง
เนื่องจากการแสดงนั้นกลายเป็นการเล่น เหมือน ลิเก ล้อชาวบ้าน ผู้ปกครองบ้านเมือง
และศาสนาซึ่งไม่ตรงกับบรรยากาศของการฉลอง ชาวบ้านรู้สึกเสียดายที่
ไม่มีโอกาสดูละครสนุกๆแบบนั้นอีก จึงไปสนุกกันที่บ้านของ ตน
โดยเอาต้นไม้มาไว้ที่บ้าน เพราะต้นไม้เป็นจุดเด่นในลานวัด ที่เขาเคยร่วมสนุกกัน
จากนั้นก็เริ่มมีการแขวนลูกแอปเปิ้ลและแขวนแผ่นขนมปังเพื่อระลึกถึงศีลมหาสนิท ซึ่ง
ก็มีวิวัฒนาการ เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จนในที่สุด ก็กลายเป็นขนมและของขวัญ
อย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้
เราจะเห็นได้ว่าวันคริสต์มาสเป็นวันสำคัญวันหนึ่ง เพื่อเป็นการระลึกถึงวันที่พระบุตรของพระเจ้ามาบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์เป็นพระเจ้า ที่จะอยู่กับเราตลอดไปเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ เป็นพี่หัวปีที่จะนำมนุษย์ทั้งมวลไปสู่พระบิดาเจ้า พระองค์เป็นความสำเร็จบริบูรณ์ ตามคำ สัญญาของพระเจ้าที่จะดูแลป้องกันรักษาเราผู้เป็นประชากรของพระองค์




เพลง : Jingle Bell

Dashing through the snow
On a one-horse open sleigh,
Over the fields we go,
Laughing all the way;
Bells on bob-tail ring,
making spirits bright,
What fun it is to ride and sing
A sleighing song tonight
Jingle bells, jingle bells,
jingle all the way!
O what fun it is to ride
In a one-horse open sleigh
A day or two ago,
I thought I'd take a ride,
And soon Miss Fanny Bright
Was seated by my side;
The horse was lean and lank;
Misfortune seemed his lot;
He got into a drifted bank,
And we, we got upsot.
Jingle Bells, Jingle Bells,
Jingle all the way!
What fun it is to ride
In a one-horse open sleigh.
A day or two ago,
the story I must tell
I went out on the snow
And on my back I fell;
A gent was riding by
In a one-horse open sleigh,
He laughed as there
I sprawling lie,
But quickly drove away.
Jingle Bells, Jingle Bells,
Jingle all the way!
What fun it is to ride
In a one-horse open sleigh.
Now the ground is white
Go it while you're young,
Take the girls tonight
And sing this sleighing song;
Just get a bob-tailed bay
two-forty as his speed
Hitch him to an open sleigh
And crack! you'll take the lead.
Jingle Bells, Jingle Bells,
Jingle all the way!
What fun it is to ride
In a one-horse open sleigh.

เตือนพ่อแม่สูบบุหรี่ลูกเสี่ยงโรคใหลตาย

มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ เดินหน้ารณรงค์บ้านปลอดบุหรี่ หลังสำรวจพบ เด็กเล็กป่วยจากควันบุหรี่มือสองสารพัดโรค โดยเฉพาะจากที่บ้าน ทั้งทางเดินหายใจ ภูมิแพ้ แถมเสี่ยงต่อโรคใหลตายกว่าเด็กปกติ 2.5 เท่า หากพ่อและแม่สูบเพิ่มความเสี่ยงเป็น 4 เท่า พร้อมเผยผลวิจัยเอแบคโพลล์ ปี 51 พบเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปีที่มาหาหมอ มีผู้ปกครองสูบบุหรี่ถึงร้อยละ 63 ในจำนวนนี้ ร้อยละ 82 สูบบุหรี่ในบ้านเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ร่วมกับมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ (มสบ.) จัดงานแถลงข่าว "เปิดโครงการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี : ต้นแบบในการรณรงค์ให้บ้านปลอดบุหรี่" ที่สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ภายหลังแถลงข่าวได้จัดกิจกรรมเดินพาเหรดเพื่อบ้านปลอดบุหรี่ของนักเรียนโรงเรียนสวนบัว จากสถาบันไปถึงลานกิจกรรมอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ด้านโรงพยาบาลราชวิถี พญ.ศิราภรณ์ สวัสดิวร ผู้อำนวยการสถาบัน กล่าวว่า ปัญหาควันบุหรี่มือสองกำลังเป็นภัยร้ายของเด็กเล็ก เนื่องจากข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติเมื่อปี 2547 พบว่า มีครัวเรือน 7.3 ล้านครัวเรือนที่มีสมาชิกอย่างน้อยหนึ่งคนสูบบุหรี่ และมีประชากรอายุต่ำกว่า 5 ปีจำนวน 2.28 ล้านคนที่ได้รับควันบุหรี่มือสองในบ้าน ซึ่งจากการสำรวจในปี 2550 ยังยืนยันว่าร้อยละ 58.9 หรือ 6.3 ล้านคนจากจำนวนผู้สูบบุหรี่ทั้งหมด 10.8 ล้านคนนิยมสูบบุหรี่ขณะอยู่ในบ้าน แสดงให้เห็นว่าเด็กๆ ไม่สามารถหลีกเลี่ยงจากภัยของควันบุหรี่ได้เลย รศ.นพ.สรศักดิ์ โล่จินดารัตน์ ผู้แทนราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า เด็กเป็นผู้ได้รับอันตรายจากควันบุหรี่ในบ้านในระดับสูงสุด เพราะเด็กๆ มีระบบทางเดินหายใจที่เล็กอัตราการหายใจเร็วกว่าผู้ใหญ่ และระบบป้องกันภายในร่างกายยังไม่แข็งแรงเหมือนผู้ใหญ่ จึงทำให้เด็กได้รับผลกระทบจากควันบุหรี่มากกว่าผู้ใหญ่หลายเท่า โดยควันบุหรี่มือสองเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคใหลตายในเด็ก หรือโรค SIDS ทำให้เกิดการตายในเด็กตั้งแต่ในครรภ์มารดา และตายเมื่อเป็นทารก โดยพบว่าครอบครัวที่มีพ่อสูบบุหรี่จะทำให้เด็กเสี่ยงเป็นโรคใหลตายเพิ่มขึ้นถึง 2.5 เท่า และหากทั้งพ่อและแม่สูบบุหรี่ความเสี่ยงก็จะเพิ่มเป็น 4 เท่า รศ.นพ.สุวัฒน์ เบญจพลพิทักษ์ อุปนายกสมาคมโรคภูมิแพ้และวิทยาภูมิคุ้มกันแห่งประเทศไทย กล่าวว่า โรคภูมิแพ้ในเด็กมีสาเหตุมาจาก 2 ปัจจัย คือ พันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม โดยปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมมักเกิดจากการได้รับควันบุหรี่ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ซึ่งส่งผลให้เกิดโรคหอบหืด และโรคภูมิแพ้อากาศ โดยโรคหอบหืดในเด็กไทยพบร้อยละ 12-13 หรือประมาณ 3 ล้านคน แต่โรคนี้มีอันตรายมาก เพราะหากรุนแรงอาจทำให้เสียชีวิตได้ เนื่องจากเด็กจะมีอาการหายใจไม่ออก ส่วนโรคภูมิแพ้อากาศพบมากถึงร้อยละ 30 ซึ่งโรคดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต ทำให้มีอาการไอ จามตลอดเวลา ขณะเดียวกันกลุ่มคนที่เป็นโรคภูมิแพ้อยู่แล้วก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ อาทิ โรคระบบทางเดินหายใจอักเสบ เป็นต้น รศ.พญ.มุกดา หวังวีรวงศ์ หัวหน้าโครงการสถาบัน กล่าวว่า สถาบันได้ร่วมกับสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ ทำการสำรวจความคิดเห็นต่อการรณรงค์ "บ้านปลอดบุหรี่" ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์-พฤษภาคม 2551 โดยสำรวจพ่อแม่ ผู้ปกครองที่มีบุตรหลานอายุตั้งแต่แรกเกิด-12 ปีที่นำมารับบริการที่สถาบัน จำนวน 658 คน พบว่า ร้อยละ 63.4 เป็นผู้สูบบุหรี่ โดยสูบเฉลี่ยวันละ 10.83 มวน หรือเฉลี่ยสูบ 24.5 วันต่อเดือน นอกจากนี้ ร้อยละ 82 ของพ่อแม่ ผู้ปกครองที่สูบบุหรี่ ยอมรับว่ามีการสูบบุหรี่ในบ้านจริง ขณะที่ร้อยละ 29.2 ยอมรับว่ามีบุตรหลานอยู่ใกล้ขณะที่พ่อแม่ ผู้ปกครองสูบบุหรี่ และร้อยละ 35 เคยเห็นบุตรหลานเลียนแบบท่าทางการสูบบุหรี่ ที่สำคัญร้อยละ 86 ของกลุ่มตัวอย่างเชื่อว่า ผู้ที่รับควันบุหรี่มือสองมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคต่างๆ ได้เช่นเดียวกับคนที่สูบบุหรี่ แต่จากการสำรวจพบว่าผู้ปกครองไม่ถึงครึ่งที่รู้ว่าโรคต่างๆ ในเด็กเกี่ยวข้องกับการได้รับควันบุหรี่มือสอง "ผู้ปกครองทราบว่า ควันบุหรี่มือสองทำให้เด็กเป็นหวัดบ่อยขึ้นเพียงร้อยละ 37 การติดเชื้อทางเดินหายในร้อยละ 51.8 หลอดลมอักเสบร้อยละ 48.8 หืดจับบ่อยขึ้นร้อยละ 53.8 หูน้ำหนวกร้อยละ 17.4 และใหลตายในเด็กเพียงร้อยละ 17 จึงมีความจำเป็นที่สถานบริการทุกแห่งจะต้องร่วมกันให้ความรู้แก่ผู้ปกครองถึงโรคต่างๆ ที่เกิดจากการได้รับควันบุหรี่มือสอง ซึ่งจากการสำรวจพบว่าร้อยละ 84 ของผู้ปกครองเห็นด้วยกับการรณรงค์ให้บ้านเป็นเขตปลอดบุหรี่" หัวหน้าโครงการสถาบันกล่าว